คำถามที่พบบ่อย
คำถามที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุน
บริษัท พีทีที โกลบอลเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 72.29 และบริษัทฯ ยังได้รับมอบหมายให้เป็นแกนนำธุรกิจผลิตภัณฑ์เคมีเพื่อสิ่งแวดล้อม (Green Flagship Company) ของกลุ่ม GC โดยบริษัทฯ เป็นผู้บุกเบิกด้านการผลิตผลิตภัณฑ์โอลีโอเคมีในประเทศไทย
ธุรกิจปัจจุบันของบริษัทฯ คือ การผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์โอลีโอเคมีเพื่อสิ่งแวดล้อมขั้นพื้นฐาน ซึ่งประกอบด้วย
- ผลิตภัณฑ์เมทิลเอสเทอร์ เป็นผลิตภัณฑ์โอลีโอเคมีเพื่อสิ่งแวดล้อมขั้นพื้นฐาน(Basic Oleochemicals) ซึ่งเมทิลเอสเทอร์ หรือ B100 สามารถใช้ผสมกับน้ำมันดีเซลพื้นฐาน เพื่อผลิตเป็นน้ำมันไบโอดีเซลที่มีคุณภาพตามมาตรฐานยุโรป(EN14214) เพื่อใช้ในเครื่องยนต์ดีเซล โดยเมทิลเอสเทอร์จะมีส่วนช่วยด้านประสิทธิภาพในน้ำมันดีเซล ทั้งในด้านคุณสมบัติการหล่อลื่น ด้านประสิทธิภาพการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ หรือช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ และที่สําคัญคือช่วยลดมลภาวะหรือผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นการช่วยลดปัญหาฝุ่น PM 2.5
- ผลิตภัณฑ์แฟตตี้แอลกอฮอล์ เป็นผลิตภัณฑ์โอลีโอเคมีเพื่อสิ่งแวดล้อมขั้นพื้นฐาน(Basic Oleochemicals) ซึ่งเป็นสารตั้งต้นที่สําคัญในการต่อยอดไปสู่อุตสาหกรรมสุขอนามัยส่วนบุคคล (Personal Care) แฟตตี้แอลกอฮอล์เป็นวัตถุดิบและส่วนประกอบหลักที่นําไปใช้ในการผลิตสินค้าหลายประเภท ซึ่งรวมถึงสารลดแรงตึงผิว สารเสริมสภาพพลาสติก (Plasticizers) สารทําละลาย สารแต่งกลิ่น น้ำหอม สารชําระล้าง สารช่วยทําให้ฟองคงรูป (Foam Stabilizers) สารหล่อลื่น เครื่องสําอาง เม็ดพลาสติกในอุตสาหกรรม ปิโตรเคมีขั้นกลาง (Plastic Intermediates) ยาสระผม สีและสารเคลือบ ส่วนประกอบในสิ่งทอ เครื่องหนัง หมึกพิมพ์ หรืออุตสาหกรรมอื่นๆ
- ผลิตภัณฑ์กลีเซอรีน เป็นผลิตภัณฑ์พลอยได้จากกระบวนการผลิตเมทิลเอสเทอร์และแฟตตี้แอลกอฮอล์ ซึ่งสามารถนำไปใช้ในอุตสาหกรรมยา อุตสาหกรรมอาหาร และอุตสาหกรรมสุขอนามัยส่วนบุคคล นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีผลิตภัณฑ์พลอยได้อีกหลายประเภท อาทิ กลีเซอรีนดิบ กลีเซอรีนสีเหลือง โพแทสเซียมซัลเฟต กากเมทิลเอสเทอร์และกากแฟตตี้แอลกอฮอล์
บริษัทฯ มีโครงการที่ก่อสร้างเสร็จแล้ว และโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ดังนี้
- โครงการขยายกําลังการผลิตผลิตภัณฑ์แฟตตี้แอลกอฮอล์อีทอกซีเลทของบริษัท ไทย อีทอกซีเลท จํากัด (TEX) เพื่อช่วยยกระดับความสามารถในการแข่งขันและการเติบโตทางธุรกิจในอนาคต โดยโครงการได้เริ่มดําเนินการก่อสร้างในเดือนมีนาคม 2566 และก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมดําเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 4 ปี 2567
- โครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ (NBC) เป็นโครงการเพื่อต่อยอดสู่อุตสาหกรรมเคมีชีวภาพ และผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพ โดยแบ่งโครงการเป็น 2 ระยะ สำหรับระยะที่ 1 แผนการลงทุนประกอบด้วย โรงงานผลิตน้ำอ้อยและน้ำเชื่อมจากอ้อย โรงงานเอทานอล โรงงานไฟฟ้าชีวมวลและผลิตไอน้ำความดันสูง ซึ่งโครงการฯนี้ ได้ดําเนินการเริ่มผลิตเอทานอลในเดือนมีนาคม 2565 และจําหน่ายเอทานอลครั้งแรกในเดือนเมษายน 2565 โดยเริ่มดําเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 1 ปี 2567 สำหรับระยะที่ 2 อยู่ระหว่างการศึกษาเทคโนโลยีและผู้ร่วมทุนที่เหมาะสม สามารถติดตามความคืบหน้าของโครงการได้ที่แบบ 56-1 One Report ประจําปี
- เมทิลเอสเทอร์จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในน้ำมันดีเซล ทั้งในด้านคุณสมบัติการหล่อลื่น เพิ่มประสิทธิภาพการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ และช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์
- การใช้ไบโอดีเซลสามารถช่วยลดมลภาวะหรือผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยเป็นการช่วยลดปัญหาฝุ่น PM2.5
- ลูกค้าหลักของผลิตภัณฑ์เมทิลเอสเทอร์ หรือ B100 ได้แก่ บริษัทในกลุ่ม ปตท. และบริษัทน้ำมันชั้นนำในประเทศไทย
- ลูกค้าหลักของผลิตภัณฑ์แฟตตี้แอลกอฮอล์ ได้แก่ ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค ผู้ประกอบอุตสาหกรรมโอลีโอเคมี ตลอดจนผู้ขาย (Trader) ผู้จัดจําหน่าย (Distributor) ซึ่งซื้อแฟตตี้แอลกอฮอล์ ไปจําหน่ายต่อให้แก่ลูกค้าของตน สําหรับลูกค้าในประเทศจะจําหน่ายให้แก่ บริษัท ไทย อีทอกซีเลท จํากัด (TEX)เป็นหลัก ทั้งนี้ ตลาดต่างประเทศของผลิตภัณฑ์แฟตตี้แอลกอฮอล์ ได้แก่ ประเทศต่าง ๆ ในทวีปเอเชีย ทวีปยุโรป ทวีปแอฟริกาใต้ และทวีปอเมริกาใต้
ปัจจุบันบริษัทฯ มีโรงงานที่มีกำลังการผลิตติดตั้ง ดังนี้
- โรงงานผลิตเมทิลเอสเทอร์แห่งที่ 1 มีกำลังการผลิตติดตั้งเท่ากับ 300,000 ตันต่อปี และโรงงานผลิตเมทิลเอสเทอร์แห่งที่ 2 มีกำลังการผลิตติดตั้งเท่ากับ 200,000 ตันต่อปี
- โรงงานผลิตแฟตตี้แอลกอฮอล์ มีกำลังการผลิตติดตั้งเท่ากับ 100,000 ตันต่อปี
- โรงงานกลีเซอรีน มีกําลังการผลิตติดตั้งของกลีเซอรีนบริสุทธิ์แห่งที่ 1 และแห่งที่ 2 รวมทั้งหมด 51,000 ตันต่อปี
การกำหนดราคาไบโอดีเซลในประเทศ เป็นไปตามมติคณะกรรมการการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ซึ่งจะใช้เป็นราคาอ้างอิงในการขายให้กับโรงกลั่นน้ำมัน และ/หรือผู้ค้าน้ำมันตามพรบ.การค้าน้ำมันเชื้อเพลิง
ราคาอ้างอิงดังกล่าว เป็นหลักเกณฑ์ในการกำหนดราคาไบโอดีเซลเพื่อสะท้อนราคาวัตถุดิบหรือต้นทุนการผลิตที่แท้จริง โดยคำนึงถึงวัตถุดิบหลักในการผลิตไบโอดีเซล 3 ชนิด คือ น้ำมันปาล์มดิบ น้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์ และไขน้ำมันปาล์ม
(รายละเอียดสามารถติดตามได้จาก website: www.eppo.go.th/index.php/th/petroleum/biofuel/situation-biofuel)
โครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ (Nakhonsawan Biocomplex) เป็นการศึกษาโครงการร่วมกับบริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (KTIS) ซึ่งจำแนกแผนการลงทุนพัฒนาโครงการดังกล่าว ณ จังหวัดนครสวรรค์ ออกเป็น 2 ระยะ คือ
- แผนการลงทุนระยะที่ 1 ซึ่งประกอบด้วย
- โรงผลิตน้ำอ้อยและน้ำเชื่อมจากอ้อย ซึ่งมีกําลังการหีบอ้อยจํานวน 2.4 ล้านตันต่อปี
- โรงงานเอทานอล ซึ่งมีกําลังการผลิตติดตั้ง 186 ล้านลิตรต่อปี หรือ 600,000 ลิตรต่อวัน ที่ใช้น้ำอ้อยหรือน้ำเชื่อม ที่ผ่านกระบวนการจากโรงหีบเป็นวัตถุดิบ
- โรงงานไฟฟ้าชีวมวลและผลิตไอน้ำความดันสูง กําลังการผลิตติดตั้งไฟฟ้า 85 เมกะวัตต์ และไอน้ำ 475 ตันต่อชั่วโมง ซึ่งโครงการฯนี้ ได้ดําเนินการเริ่มผลิตเอทานอลในเดือนมีนาคม 2565 และจําหน่ายเอทานอลครั้งแรกในเดือนเมษายน 2565 โดยเริ่มดําเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 1 ปี 2567
- แผนการลงทุนระยะที่ 2 เป็นการต่อยอดเพื่อเพิ่มศักยภาพและมูลค่าให้โครงการกิจการร่วมค้าในนิคมอุตสาหกรรมเคมีเพื่อสิ่งแวดล้อม (Nakhonsawan Biocomplex) โดยการลงทุนดังกล่าวเป็นการส่งเสริมให้โครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ มีความพร้อมในการรองรับการลงทุน และช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้าเกษตรในโครงการต่างๆ ที่จะมาลงทุนในอนาคตให้สามารถใช้บริการด้านสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐานดังกล่าวได้โดยไม่ต้องพิจารณาลงทุนเอง นอกจากนี้ การผลักดันและพัฒนาโครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ ให้มีศักยภาพทัดเทียมกับนิคมอุตสาหกรรมอื่น ๆ และมีโครงการด้านอุตสาหกรรมเคมี เพื่อสิ่งแวดล้อมมาลงทุนมากขึ้นนั้น เป็นการตอบสนองกลยุทธ์ของประเทศไทยในการพัฒนาตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน (BCG Model) รวมถึงตอกย้ำความเป็นผู้นําของบริษัทในธุรกิจเคมีภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม (Green Business) สามารถติดตามความคืบหน้าของโครงการได้ที่แบบ 56-1 One Report ประจําปี
บริษัทฯ กำหนดนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น กำหนดให้จ่ายได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีและทุนสำรองต่างๆ ทั้งหมดของบริษัทฯ โดยมีเงื่อนไขว่า การจ่ายปันผลดังกล่าวขึ้นอยู่กับแผนการลงทุนความจำเป็นและความเหมาะสมอื่นๆ ในอนาคตด้วย